รายละเอียด
ดาวน์โหลด Docx
อ่านเพิ่มเติม
(ขออภัยครับท่านอาจารย์ ผมขอ ถามท่านสักสองสามข้อครับ) (อาจารย์ครับ สตีฟ บรันส์แมน ผมทำงานที่ฮูสตันโพสต์) โอเค (ยินดีที่ได้รู้จักท่านครับ) ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ (ผมต้องขออภัยด้วยครับ) ไม่เป็นไรนะที่รัก (ผมมาถึงที่นี่สาย) ผมรู้ว่าท่านมีงานเยอะมาก (ผมอยากจะใช้เวลาสักนาที หรือสองนาทีกับท่านครับ) ได้ค่ะ คนอื่น ๆ ทานข้าวไป โอเค หรือ ทำไมคุณไม่มานั่งที่นี่ และทานข้าวกับพวกเรา ไม่ ทานหรือคุยก็ได้ทั้งนั้น ฉันทานไม่มากขนาดนั้น ฉันอยู่ที่นี่เพื่อผู้คนเท่านั้น (ผมนั่งที่นี่ได้ไหมครับ) นั่งตรงไหนก็ได้ (เส้นทางของท่านค่อนข้างง่าย หรือ 'ฉับพลัน' อาจเป็นคำที่ผิด แต่เป็น อะไรบางอย่างที่... (ข้างใน) นั่นคือข้างใน) แค่ทำความรู้จักตัวคุณเอง (คุยกับผมเกี่ยวกับเรื่องนั้น) คุณเห็นไหมว่าเรารู้ทุกอย่าง เราต่างรู้หลายสิ่งในโลกนี้ ยกเว้นตัวเราเอง ฉะนั้นผู้ใดมาหาเรา หากเขาพยายามแสวงหาสิ่งนั้น สิ่งที่เป็นนิรันดร์ สิ่งที่เป็นตัวของเขาเอง ที่จะทำให้เขามีความสุข เราก็จะแสดงให้เขาเห็นว่า สิ่งเดียวที่คุ้มค่าที่ควรรู้จัก คือตัวเราเอง (ผมไม่คิดว่าท่านหมายความแบบนั้น ในทางโลก) ใช่ ฉันจะอธิบายให้ฟัง เพราะฉันเร็วเกินไป สำหรับเขาแล้ว เห็นไหม "ตัวตน" ที่คุณรู้จัก ตอนนี้คือสตีฟ-อะไรสักอย่าง บางที ใช่ไหม? เกิดจากคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง คนนั้นคนนี้และสำเร็จการศึกษา จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และด้วยความรู้ทั้งหมดนี้ คุณเรียนรู้ได้จากหนังสือ จากผู้ปกครอง จากครู และจากเพื่อน ๆ แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคุณ เพราะก่อนที่คุณจะเกิด คุณไม่ใช่สตีฟ บรันส์แมน และคุณไม่ได้รับความรู้ ทั้งหมดที่คุณเรียกว่า "ตัวคุณเอง" ดังนั้น เมื่อเราพิจารณา ถึงแก่นสำคัญแล้ว เราไม่มีอะไรเลย หากเรายึดติดกับสิ่งที่เรียกว่า สตีฟ บรันส์แมน อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เรารู้จักตัวเองแล้ว เราก็ไม่มีอะไรเลย เพราะคุณมีความรู้เพียง จากหนังสือเท่านั้น คุณจึงมีเพียงประสบการณ์ ในชีวิตประจำวัน การติดต่อกับผู้อื่น หรือสถานการณ์ต่าง ๆ และนั่นไม่ใช่คุณ (โอเคครับ) มันเป็นเพียงสถานการณ์และความรู้ (โปรดบอกผมถึงเส้นทาง สำหรับลูกศิษย์ของท่านทีครับ พวกเขามาหาท่านหรือไม่ และ สำนักงานใหญ่ของท่านอยู่ที่ไหน? มีเส้นทางการศึกษา ที่กินเวลาเป็นเดือน หรือเป็นปีไหมครับ? นั่นทำงานยังไงครับ?) มันไม่ได้ทำจากภายนอก เท่ากับจากภายใน จริง ๆ แล้ว ขณะที่ฉันสอนผู้คน ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาเลย แต่เรายังใช้ภาษา ในการสนทนา ทุกครั้งที่ฉันต้องเดินทาง ไปพูดที่ไหนสักแห่ง หรือต้องพูด ที่สำนักงานใหญ่ของฉัน ที่ไต้หวัน (ฟอร์โมซา) และเมื่อฉันพูด ผู้คนก็จะได้รับความกระจ่าง เรื่องความเข้าใจผิด อคติ สิ่งต่าง ๆ มากมาย ที่พวกเขาตั้งคำถามกับตัวเอง และนั่นคือส่วนแรก และเมื่อพวกเขาพร้อม ที่จะยอมรับด้านที่สูงกว่า ฉันจะไม่พูดอะไร แล้วฉันจะสอนพวกเขาอย่างเงียบ ๆ โดยใช้ความรู้ของพวกเขาเอง ในการสอนตัวพวกเขาเอง เพราะเราทุกคน มีปัญญาอยู่ในตัว สิ่งที่ฉันต้องทำคือบอกพวกเขา ให้หันกลับมามอง ความยิ่งใหญ่และปัญญาของตนเอง แล้วพวกเขาจะ ค่อย ๆ ตระหนักถึงสิ่งนั้น (โอเคครับ เมื่อท่านไม่พูด เมื่อบุคคลมาถึง จุดที่ไม่จำเป็น ที่อาจารย์จะต้องพูด เรากำลังพูดถึงอะไร? แบบหัวใจถึงหัวใจ...) ใช่ ใช่ ใช่ ใช่แล้ว (นี่คือเส้นทางสมาธิ ที่ท่านนำเสนอหรือครับ?) ใช่แล้ว เราก็ต้องนั่งสมาธิด้วย เราหันเข้าสู่ภายในเพื่อตระหนัก ถึงตัวตนที่แท้จริงของเรา นั่นอาจจะ เหมาะสมกว่า (เป็นเหมือนการเร่งจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณเริ่ม พัฒนาภายในใช่ไหมครับ?) เริ่มที่จะตระหนักถึงตัวตน อันยิ่งใหญ่ของตนเอง ทีละขั้นตอน (กรุณาบอกผมทีว่า ท่านเป็นอาจารย์มานาน แค่ไหนแล้วครับ?) เจ็ดแปดปีแล้ว ตอนนี้ (แล้วท่านคิดว่าท่านมีลูกศิษย์กี่คน หรือมีกี่คน ที่เคย ผ่านวิถีทาง หรือโครงการของท่านนี้มาครับ?) ฉันคิดว่าเป็นหมื่น ๆ หรือมากกว่านั้น มากกว่าที่ฉันจะจำได้ (โอเคครับ แล้วที่ประเทศ อเมริกาละครับ ท่านก็ทำงานหนักที่นั่นใช่ไหมครับ? ท่านมีลูกศิษย์จำนวนมาก ในอเมริกาไหมครับ?) ต้องมีเป็นพัน ๆ คน แต่ตอนนี้ ฉันคงระบุจำนวน ที่แน่นอนไม่ได้ เพราะฉันไม่ได้อยู่ที่นี่นานแล้ว และไม่บ่อยนัก (โอเคครับ นี่เป็นการมาเยือนฮูสตัน ครั้งแรกของท่านใช่ไหมครับ?) ไม่ ไม่ มันคือ ... (ผมคิดว่าเป็นครั้งที่สองครับ) ครั้งที่สองหรือที่สาม ครั้งที่สอง (โอเคครับ คนจำนวนมากที่นี่ ที่ฮูสตันคิดว่าตัวเอง เป็นคนเคร่งศาสนา คนทั่วไปถือว่าที่นี่ เป็นสถานที่ทางศาสนาอย่างมาก (ใช่แล้ว) สถานที่ ที่มีโบสถ์และผู้คน มารวมตัวกันมากมาย) เข้าใจ ใช่ (ท่านมองไหมว่าที่นี่เป็นสถานที่ทาง ศาสนาหรือสถานที่ทางจิตวิญญาณ?) ใช่ มันเป็นศาสนาในทางใดทางหนึ่ง และคงจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หากผู้คนในสถานที่ดังกล่าว ได้รับการเสนอวิถีการรู้แจ้งในตนเอง การรับรู้ตนเอง ด้วย แทนที่จะ ฟังคำสอน ของอาจารย์ในอดีตเท่านั้น และไม่เข้าใจมากนัก มันจะเข้าทางศาสนามากขึ้น หากผู้คนเข้าใจ คำสอนของอาจารย์ในอดีต อย่างแท้จริง และเข้าใจตนเองด้วย เพราะนั่นคือสิ่งที่อาจารย์ ทั้งหลายสอนไว้: จงรู้จักตนเองและรู้ว่า “อาณาจักร ของพระเจ้าอยู่ภายในตัวคุณ” คนจำนวนมากไปโบสถ์ต่าง ๆ แต่พวกเขาไม่รู้ว่า อาณาจักรของพระเจ้า อยู่ที่ไหน พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่เคยเห็นมันเลย ดังนั้น วิธีของเราคือ สอนผู้คนให้รู้ทันทีว่า อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ที่ไหน และมีลักษณะอย่างไร อย่างน้อยก็ในทางจิตวิญญาณ ดังนั้นคุณจึงสามารถเห็นแสงสว่าง (แห่งสวรรค์ภายใน) จากพระเจ้า คุณจะได้ยินพระเจ้า และคุณจะมีปัญญาขึ้นเรื่อย ๆ และมีความรักมากขึ้นทุกวัน ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม และเป็นจริงมาก ไม่ใช่การพูดถึงหรือโฆษณา เกี่ยวกับมัน แต่เป็นการรู้จักมัน ลิ้มรสมัน และ ได้มันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน เป็นคนที่แตกต่าง แตกต่าง แต่เป็นตัวของตัวเอง ตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่คุณตระหนักว่าคุณเป็น จากความรู้ และจากการรับรู้โดยผู้คน แต่เป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ ตัวตนที่แท้จริงของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิด และหลังจากที่คุณตาย คนนั้นคือใคร? แล้วเราจะให้คุณได้ทราบ โอเคไหม? (โอเคครับ เยี่ยมมากครับ) ค่ะ (ขอบพระคุณมากครับ) ด้วยความยินดี ฉันหวังว่าฉันไม่เร็วเกินไปสำหรับคุณ (มีเพียงบางจุดเท่านั้นครับ) โอเค คุณถามฉันอีกครั้งได้นะ (ผมเข้าใจแล้วครับ) ขอบคุณ ดีแล้ว (ขอบพระคุณอีกครั้งครับ ผมซาบซึ้ง ที่ท่านสละเวลาครั้งนี้ ท่านจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนครับ?) จนถึงตอนนี้ ฉันคิดว่า เราวางแผนกันไว้สำหรับวันอาทิตย์ (โอเคครับ แล้วท่านรู้ไหมครับว่า ท่านจะไปที่ไหนหลังวันอาทิตย์?) ฉันคิดว่า... (ผมเข้าใจว่าท่าน...) กลับไปแอลเอ (...ที่แคลิฟอร์เนียตอนใต้) ใช่ ๆ (ท่านจะกลับที่นั่นหรือเปล่าครับ?) ใช่ (โอเคครับ ที่นี่ในอเมริกา ท่านมีอะไร เช่นศูนย์บ้างไหมครับ? มี... หมายถึง เป็นอาคารสถานที่หรือไม่…) เข้าใจ เราไม่เชื่อ ในการสร้างมากนัก ดังนั้น ไม่ว่า เราจะซื้ออะไรก็ตาม เราก็ซื้อสถานที่บางแห่ง ซึ่งเป็นอาคารเล็ก ๆ เช่น บ้านหรือฟาร์มที่มีอยู่แล้ว เราเปลี่ยนมัน เป็นสถานที่ให้ผู้คนได้มา นั่งสมาธิ หรือมาซักถาม หรือมาพักผ่อน หรือมาชิมอาหารวีแกน หรือมาดูคำสอนที่ศักดิ์สิทธิ์ แค่นั้นเอง (ท่านมีสิ่งเหล่านี้ที่นี่ ในสหรัฐอเมริกาไหมครับ?) ใช่แล้ว เรามี (อยู่ที่ไหนเหรอครับ?) เช่น ที่แอลเอ และที่นี่ พวกเขาพยายามจะซื้อที่ ไว้ทำแบบนั้น แต่ตอนนี้ พวกเขากำลัง... (ใช้บ้านส่วนตัวที่นี่ครับ) ใช่ ในบ้านส่วนตัว (แต่พวกเขามีศูนย์ อยู่ที่นิวเจอร์ซี) ใช่ (พวกเขามีแห่งหนึ่งในลอสแองเจลีส) ใช่ และสถานที่อื่น ๆ อีกมากมาย ในซานโฮเซ (พวกเขามีแบบนี้... ใช้ชื่ออะไรนะครับ? ท่านใช้ชื่อที่แตกต่างกัน สำหรับศูนย์เหล่านี้หรือไม่ครับ?) (ทั้งหมด เรียกว่าสมาคมนานาชาติ อนุตราจารย์ชิงไห่) ใช่แล้ว นั่นคือสิ่ง ที่พวกเขาเรียกตัวเอง ใช่ (ท่านไปร่วมทานอาหารวีแกน บ้างไหมครับ?) (ฉันอยากจะไป คุณต้องให้อภัยฉัน แต่ฉันมีตารางงานที่แน่นมาก) ไม่มีเวลา (คุณสตีฟครับ ผมดีใจมากที่คุณมา) (ผมจะติดต่อคุณ ต้นสัปดาห์หน้าได้ไหมครับ) (ได้ครับ) (แค่จะติดตาม…) (มีคุณหมออยู่ที่นี่ ซึ่งอาจเป็นคนที่ คุณอยากคุยด้วย) (ผมกำลังคิดว่า ผมอาจจะจดชื่อ และเบอร์โทรศัพท์ ไว้สักสองสามชื่อ เพื่อติดต่อครับ) (และผมสามารถให้สิ่งเหล่านั้นแก่คุณ ได้เสมอหากคุณไม่ได้รับบันทึก) (โอเค เยี่ยมมาก ขอบพระคุณอีกครั้ง) สตีฟ ขอโทษ ที่คุณไม่สามารถมาร่วมกับเราได้ (ผมซาบซึ้งใจมากครับ) (ขอบพระคุณครับ) โอเค ตอนนี้เรามีของขวัญ มาให้คุณ ให้เค้กวีแกนแก่เขา หรือผลไม้ (ครับ) (วันนี้ ท่านทำงานเกินเวลาครับ ท่านอาจารย์) ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ของผู้คน ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อทานข้าวหรือ พักผ่อนหรือเล่น (ท่านได้เผยแพร่ พระวจนะออกไปอย่างแน่นอนครับ) โอเค มันก็เหมือนหินหรือไม้นั่นแหละ แต่แนวคิดเรื่อง "ไม่มีความคิด" เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งเราติดอยู่กับคำศัพท์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว "การไม่มีความคิด" ไม่ได้เป็นเช่นนั้น “ไม่มีความคิด” หมายความว่า ณ ขณะนั้น คุณได้เข้าถึงมิติที่สูงขึ้นแล้ว คุณได้หลีกหนีจากความคิด เล็ก ๆ น้อย ๆ ไร้สาระ และแน่นอนว่า คุณก้าวขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง คุณเชื่อมต่อกับตัวตนที่แท้จริง ของคุณ กับธรรมชาติที่แท้จริง ของคุณ ถึงตอนนั้นคุณก็ไม่จำเป็น ต้องใช้จิตใจของคุณอีกต่อไป (ครับ) ก็จะไม่มีความคิด ฟุ้งซ่านอีกต่อไป คุณเข้าสู่โลกอีกใบ ซึ่งไม่อาจอธิบายได้ ด้วยใจหรือภาษาของมัน เมื่อถึงจุดนั้นก็เรียกได้ว่า “ไม่มีความคิด” แต่การ “ไม่มีความคิด” นั้น ไม่ใช่สิ่งที่คุณ ต้องกดข่ม หรือหยิบยกขึ้นมาเอง (เมื่อทำสมาธิ จะเปลี่ยนความคิดฟุ้งซ่านให้เป็น “ไม่มีความคิด” ได้อย่างไรครับ) เรื่องนี้ค่อนข้างยากนิดหน่อย การฝึกฝนต้องใช้เวลาสักพัก สำหรับบางคน มันเกิดขึ้นเร็วมาก บางคนบรรลุถึง "ไม่มีความคิด" ทันที หลังจากได้รับการประทับจิต พวกเขาก้าวขึ้น สู่ระดับสูงทันที พวกเขาทิ้งขยะทั้งหมดไว้ข้างหลัง สำหรับคนอื่น อาจต้องใช้เวลาฝึกฝน ไม่กี่สัปดาห์ ไม่กี่เดือน หรือแม้กระทั่งไม่กี่ปี ไม่มีอะไรเกี่ยวกับมันเลย คุณต้องค้นหาสิ่งนั้น เข้าใจไหม แต่อย่ายึดติดกับคำพูดที่ว่า “ฉันเป็นคนมีเมตตามาก เห็นไหม?” วันนี้ฉันให้คุณห้าร้อย แล้วที่นั่น ฉันให้ห้าพัน ฉันเป็นคนแบบนั้น” เมื่อคุณยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น นั่นแหละคือ “ตัวตน” แต่ “ตัวตน” ดังกล่าวนั้นไม่ใช่ของจริง มันเหมือนกับการพูดว่า "โอ้ ผมแย่มาก ผมโหดร้ายมาก ผมดุภรรยาของผม ผมตะโกนใส่ลูก ๆ ของผม” นั่นก็ไม่ใช่ “ตัวตน” ที่แท้จริงเช่นกัน หากคุณยังคงคิดว่า "ฉันคือสิ่งนี้" หรือ "ฉันคือสิ่งนั้น" คุณจะติดอยู่ในความมีสองขั้ว (ผมเองก็รู้แต่ว่า...) ใช่แล้ว แน่นอน ฉะนั้น ก่อนที่ “ตัวตน” จะถือกำเนิด นั่นแหละคือ “ตัวตน” ที่แท้จริง ก่อนที่เราจะดีหรือร้าย ก่อนที่จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น (ก่อนที่เราจะเกิดมา เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร ครับอาจารย์?) คุณจะต้องพิจารณาเรื่องนั้น ฉันชัดเจนมาก แต่... เมื่อคุณทำสมาธิ นานเพียงพอ หรือทำสมาธิ อย่างถูกวิธี คุณจะค่อย ๆ หลุดพ้นจาก ความคิดเดิม ๆ เหล่านั้นได้ ความคิดที่ว่า “ฉันเลว” “ฉันดี” “ฉันฉลาด” “ฉันมีพรสวรรค์” “ฉันโง่” หรืออะไรก็ตาม และกลับคืน สู่ตัวตนที่แท้จริงของคุณ ณ จุดนั้น คุณรู้ทุกอย่าง แต่ในเวลาเดียวกัน คุณกลับไม่รู้อะไรเลย (คนเราจะเปลี่ยนจากการ ไม่รู้อะไรเลยไปสู่การรู้ทุกอย่าง ได้อย่างไร แต่...) นั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงของเรา (ใช่แล้ว นั่นคือเรา..) แต่เรากลับลืมมันไป (ใช่ครับ) เราใช้เวลาทั้งวัน... (เราจะจำได้อีกครั้ง ได้อย่างไรครับอาจารย์) เพราะเหตุนี้ การสอนนักเรียนจึง เป็นเรื่องท้าทายมาก (ใช่ครับ) เพื่อทำงานทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ เป้าหมายหลักคือการช่วยให้พวกเขา ตื่นรู้เพื่อจะได้ ใช้ความรู้แจ้งของตน เพื่อทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นการพึ่งจิตคิด จะใช้เวลานานมาก เพราะเหตุนี้ ฉันจึงนั่งอยู่ที่นี่ ในตอนนี้ เพื่อบรรยายให้คุณฟัง ฉันสามารถพูดคุยและสอนคุณ ได้ห้าหรือสิบปี และมันก็ยังคงเหมือนเดิม ก่อนอื่นคุณต้องเปิดจิตใจ ของอาจารย์ภายในตัวคุณก่อน (ใช่ครับ) คุณต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แค่รักษาที่อาการ เมื่อเปิดแล้ว เมื่อฉันพูดกับคุณ คุณก็สามารถฟังและเข้าใจได้ เพราะเหตุนี้คุณจึงถามอยู่เรื่อย ๆ แต่ลูกศิษย์ของฉัน เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดได้ทันที ในขณะที่คนอื่น ๆ ถามอยู่เรื่อย ๆ แต่ยังคงไม่เข้าใจ เพราะความเข้าใจของเขา ยังไม่ถูกเปิดออกมา (ท่านบอกว่า 7,000 ปีต่อมาใช่ไหม) อะไรสักอย่างทำนองนั้น (ว้าว) มากกว่า มากกว่าเจ็ดพัน มากกว่าอีกนิดหน่อย ตอนนี้กี่โมงแล้ว? (ตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้ว) ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีตอนเย็นเลย เพราะมันเป็นทั้งวันทั้งคืน (ทำไมท่านไม่...) (ท่านอาจารย์ต้องพักผ่อนนะครับ) มันขึ้นอยู่กับคุณ หากคุณต้องการถามเพิ่มเติม คุณสามารถถามฉันได้ ถ้าไม่ ฉันก็จะไป คุณนั้นสำคัญ ไม่ใช่ฉัน (คำถามเดียวของผมคือ…) การรู้แจ้ง (การรู้แจ้งครับ) โอเค ฉันจะให้เวลาคุณ ห้านาที คุณจะได้มัน ไม่ต้องกังวล โอเค? (เขาเป็นวีแกนใช่ไหมครับอาจารย์?) โอ้ เขาเป็นวีแกนมานานแล้ว (จริงเหรอครับ?) และได้รับการประทับจิตเรียบร้อยแล้ว (โอ จริงเหรอครับ?) เขาเป็นนักเรียนอยู่ แต่เขาฉลาดมาก เขามีประสบการณ์มากมาย แต่เขายังคงต้องการมากกว่านั้น มันเป็นอย่างนั้น ถูกตามใจนิดหน่อย พวกเขาก็เป็นแบบนั้นกันหมด เพียงแต่ว่าชาวต่างชาติสองคนนี้ ได้รับการเอาใจใส่จากฉัน มากกว่านิดหน่อย (ครับ) และพวกเขาก็ทำงานหนักเช่นกัน แค่นั้นเอง เพราะภูมิหลังของเขา (พรุ่งนี้ตอนบ่ายสามโมง และไม่มีค่าใช้จ่ายครับ) นั่นคืออะไร? (ที่ไหนครับ?) (พรุ่งนี้เวลาบ่ายสามโมงครับ) อ้อ เขาพูดถึงการประทับจิต พรุ่งนี้บ่ายสามโมง (การประทับจิตเริ่มพรุ่งนี้ เวลาสามนาฬิกา และฟรีครับ) และมันฟรี ฟรีตลอดไป ทุกสิ่งทุกอย่างจากฉันนั้นฟรี เพราะฉันเป็นหนี้ โลกนี้ทุกอย่าง ฉันก็เลยให้ฟรีทั้งหมด พวกเขายังคงมีขั้นตอน หรือระบบราชการ อะไรประมาณนั้น – คุณพูดต่อ (ดูแลเรื่องทางโลกครับและ…) ใช่แล้ว แค่นั้นเอง ดังนั้นจึงไม่กังวล คุณเป็นอิสระแล้ว ใครผูกมัดคุณ ใครบ้างที่ต้องการกายเนื้อ? (ใช่ครับ) คุณจากไปแล้ว คุณขึ้นไปอยู่บนนั้น และคุณ กำลังกำกับกายเนื้ออยู่ตอนนี้ (ถูกต้องครับ) คุณก็เลยไม่มีประสบการณ์ คุณหายไปแล้ว ใครจะอยู่ที่นั่นเพื่อดูประสบการณ์? (ใครก็ตามที่กำลังดู ประสบการณ์ของพวกเขาครับ) หากคุณยังอยู่ที่นั่นเท่านั้น คุณจึงจะเห็นประสบการณ์นั้น (โอ้ จริงเหรอครับ?) ใช่ (มันเป็นแบบนั้นเอง) ใช่ โอเค อ้า ไม่มีอะไรเลย (เป็นผู้รู้แจ้งเหมือนท่านครับอาจารย์) ใช่ รู้แจ้งแล้ว (ผมได้เรียนรู้มากมายครับอาจารย์ ท่านต้องสอน [ผม] เยอะมาก มันเป็นโชคชะตา) โอเค คุณมีเวลาไหม? (มีครับ) คุณสามารถฟังเทปของฉันได้ (ผมได้แล้วครับ) หรืออ่านหนังสือ ของฉัน อาจช่วยคุณได้ นั่นก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง (ครับ ขอบพระคุณครับ ท่านอาจารย์) และถ้าอยากให้ลึกซึ้งกว่านี้ คุณก็ประทับจิตจริง ๆ ได้เลย แค่นั้นเอง ทางเลือกเป็นของคุณ (ขอบพระคุณครับ) ฉันพร้อมเสมอ (โอเคครับ โอเคครับ) ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม คุณก็แจ้งให้เขาทราบ มีใครอยากถ่ายรูปบ้างไหม? พอหรือยัง ต้องแน่ใจว่าดี ดีมั้ย? เอาอีกสักรูป (อีกรูปเหรอครับ? โอเคครับ) ใช่ เผื่อไว้ (ยิ้มนะครับ) โอเค วันนี้ฉันอารมณ์ดี (โอเคครับ ขอบพระคุณครับ) ระวังนะ (ขอบพระคุณอย่างมากครับ) ฉันมีบางอย่างให้คุณ (ท่านอาจารย์มีบางสิ่งครับ…) ทุกคน ของขวัญแบบนี้ก็เหมือนกัน ข้างใน ข้างใน (มันเป็นของขวัญพิเศษ มันคือพร) งั้นเรามาแบ่งปันกันดีกว่า คุณแบ่งปันกัน โอเคไหม? สิ่งนี้ มาจากต่างประเทศ เอาหลัก (เวียดนาม) จีน อเมริกัน ฮูสตัน แคลิฟอร์เนีย ฯลฯ (ขอบพระคุณมากครับ ขอบพระคุณมาก ๆ เลยครับ…) เจอกันประมาณหกโมง เจ็ดโมง หรืออะไรประมาณนั้น (โอเคครับ) ไม่มีคำถามใดเป็นคำถามที่ดีที่สุด เอาล่ะ คุณเห็นฉันพอหรือยัง? วันนี้ฉันมีปัญหา สายตานิดหน่อย เลยต้องใส่แว่นกันแดด แต่ถ้าคุณอยากมองตาของฉัน คุณสามารถดูรูปภาพของฉันได้ (ดูแลตัวท่านด้วยนะครับ) โอเค (ท่านก็รู้ว่าผมเป็นยังไง) ใช่ Photo Caption: เราจะสร้างใหม่จากการทำลายล้าง